หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเตรียมพร้อม

           ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง และอาจารย์ก็ให้ผมวิจารณ์ แล้วท่านจะได้อะไรจากผมไหม ลองตามผมมาซิ ผมจะเล่าให้ฟัง
หนังสือ
ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (WHO   MOVED  MY CHEESE)
ผู้แต่ง : นายแพทย์สเปนเซอร์  จอห์นสัน


เรื่องย่อมีอยู่ว่า
มีตัวละครขนาดจิ๋วอยู่ ตัว วิ่งวนอยู่ในเขาวงกต ซึ่งสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง เพื่อเสาะหาเนยแข็งอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ในนี้มีสองชีวิตเป็นหนู ตัวหนึ่งชื่อ 'สนิฟฟ์' กับ'สเคอร์รี่' ส่วนมนุษย์แคระอีกสองคนชื่อ 'เฮ็ม'กับ 'ฮอว์' ทั้งสี่ชีวิตใช้เวลาในแต่ละวันในการวิ่งหาเนยแข็งในเขาวงกตนั้น เจ้าหนู สนิฟฟ์ และ สเคอร์รี่ ใช้วิธีลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง พวกมันจะจำทางที่ไม่มีเนยแข็งไว้ แล้ววิ่งไปทางอื่นจนถูกทาง ส่วนคนแคระ เฮ็ม กับ ฮอว์ ก็ใช้ความรู้และประสบการณ์ในอดีตเข้าช่วย ในที่สุดทั้ง ชีวิต ได้พบกับคลังเนยแข็งขนาดใหญ่ ที่ดูเหมือนมีเนยเพียงพอที่ให้กินไปได้ตลอดชีวิต พวกเขาได้พบแหล่งอาหารอันวิเศษที่แสนสะดวกสบาย และไม่ต้องวิ่งตระเวนหาอีกต่อไป เวลาผ่านไปจนมาถึงเช้าวันหนึ่ง ทั้ง ชีวิต ได้พบว่าเนยแข็งกำลังจะหมดไป เจ้า สนิฟฟ์ เห็นเช่นนั้นก็ไม่เสียเวลาวิเคราะห์ มันออกวิ่งค้นหาเนยแข็งก้อนใหม่ทันที ส่วนเจ้า สเคอร์รี่ เห็นเช่นนั้นก็วิ่งตามโดยไม่รอช้า สนิฟฟ์ ไปถึงไหน สเคอร์รี่ ก็ไปที่นั่น คนแคระ เฮ็ม กับ ฮอว์ ไม่คาดมาก่อนว่าเนยแข็งจะหมดไป เฮ็ม ถึงกับตีโพยตีพายกล่าวโทษเทวดาฟ้าดินว่า ไม่ยุติธรรมกับเขา แล้ววิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ว่าเนยแข็งควรจะกลับมาหาเขาอีก แต่ ฮอว์ ดูจะยอมรับความจริงได้มากกว่า เขาเริ่มคิดว่า เขาควรทำการเปลี่ยนแปลง เขาจึงชวน เฮ็ม ให้ออกไปหาเนยแข็งใหม่แบบที่หนูสองตัวกำลังทำอยู่ ปรากฏว่า เฮ็ม ไม่ยอมรับฟัง ฮอว์ จึงไปสู่เขาวงกตตามลำพัง และแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็ได้พบคลังเนยแข็งแห่งใหม่ที่ดีและใหญ่กว่าเดิม ฮอว์นั้นแม้จะออกมาช้ากว่าเจ้าหนูทั้งสอง แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบคลังเนยแข็งใหม่ เช่นกัน เขาจึงกลับไปชวน เฮ็ม ให้ออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่ แต่ เฮ็ม กลับปฏิเสธ ทั้งยังไม่ยอมรับเนยแข็งที่ ฮอว์ อุตส่าห์เอาไปฝาก ฮอว์ จึงจำใจต้องปล่อยเพื่อนไว้เช่นนั้น ระหว่างที่ ฮอว์ ออกมาเผชิญโชคครั้งใหม่ ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทีละน้อย เขาสรุปสัจธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเขียนไว้บนกำแพงเป็นระยะๆ 'ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณอาจจะสู­ญพันธุ์' ฮอว์ สุขสบายอยู่ในคลังเนยแข็งใหม่ แต่ก็ยังคิดและหวังว่า เฮ็มเพื่อนรักจะตามมาตามลายแทง และข้อคิดที่เขาบอกทางไว้ให้ แล้ววันหนึ่งฮอว์ ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากทางเดินข้างนอก นั่นอาจจะเป็น เฮ็ม ก็ได้ใครจะรู้ ชีวิตเป็นตัวแทนแห่งสัญชาตญาณและความคิดในการตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง  
สนิฟฟ์             เป็นผู้ดมกลิ่นการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใครจึงนำออกไปก่อน สเคอร์รี่            ไม่คิดอะไรเลยวิ่งตามกระแสอย่างเดียว
เฮ็ม                   เป็นผู้ปฏิเสธและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏโฉมในทางเลวร้ายกว่าเดิม
ฮอว์                 เป็นคนเรียนรู้และปรับตัวตามยุคสมัย  เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ในโลกแห่งธุรกิจ และโลกแห่งการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย นิทานเรื่องนี้อาจให้แง่คิดที่เตือนให้ผู้คนมองเห็น การเปลี่ยนแปลง และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด
            เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ลองมาดูว่า แนวคิดผมเป็นอย่างไร ท่านคิดเหมือนผมไหม
            จากเรื่องดังกล่าวนี้  สามารถวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ตัวละครต่างๆ ได้แสดงให้เห็น พร้อมทั้งแง่คิดต่างๆ ที่แฝงไว้ โดยใช้หลักการบริหารการพัฒนาของการบริหารการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
            เมื่อพวกหนูสนิฟฟ์และสเคอร์รี่ ที่มีสมองธรรมดาเหมือนหนูทั่วไปและไม่ได้เก่งเท่ากับพวกมนุษย์จิ๋ว แต่ก็มีสัญชาตญานที่ยอดเยี่ยมนั้น  ได้รับรู้ว่าเนยแข็งในสถานี .นั้นเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ ก็ทำใจได้ว่าสักวันเนยแข็งก็จะต้องหมด  พวกมันจึงมีความเตรียมพร้อมอยู่เสมอโดยเอารองเท้าจ๊อกกิ้งแขวนไว้ที่คอ เพราะเมื่อถึงวันที่เนยแข็งหมดไปจริงๆ พวกมันก็จะเริ่มต้นออกวิ่งเพื่อหาเนยแข็งชิ้นใหม่ต่อไปได้โดยเร็ว เปรียบเหมือนกับ การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กร (Organizational Change Management) ซึ่งการบริหารการพัฒนาในสภาพปัจจุบันต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ทั้งภายในและภายนอกองค์การ ซึ่งการจัดการการเปลี่ยนแปลงองค์การ หากสามารถมีการวางแผนล่วงหน้าจะทำให้ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง  ในส่วนของมนุษย์จิ๋วสองคน คือ เฮ็มและฮอว์ ซึ่งมีสมองที่ชาญฉลาดกว่าพวกหนู แต่มักใช้ความเชื่อและอารมณ์ของตนมาบดบังความจริงที่เกิดขึ้น   ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยรับรู้มาก่อนแม้แต่น้อยว่า  เนยแข็งในสถานี . นั้นเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนหมด   กลับคิดว่ามีคนมาขโมยเนยแข็งของพวกเขาไป และไม่ยอมที่จะเริ่มต้นออกเดินทางเพื่อหาเนยแข็งชิ้นใหม่จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องพบกับความหิวโหย  แต่ฮอว์ก็เริ่มตระหนักได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการที่เนยแข็งหายไปก็คือ  พวกเขาพยายามสร้างภาพเพื่อหลอกตัวเองอยู่เสมอว่าเนยแข็งนั้นไม่มีวันหมดไปอย่างแน่นอน  จึงไม่คิดเตรียมตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น  จากการอ่านหนังสือ ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who  moved  my cheese) สิ่งที่สะท้อนจากเรื่องสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารการพัฒนาในบริบทสังคมปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง ดูตัวละครแล้วย้อนมองชีวิตตนเอง ว่าเราเป็นตัวละครตัวใด แล้วเราจะปรับแนวคิด  ชีวิตอย่างไรในกระแสโลกที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นสิ่งที่นักบริหารการพัฒนาควรจะนำมาปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับตัว คือ การนำหลักของกระบวนการบริหารการพัฒนา   ประการ ที่นักศึกษาได้คิดต่อยอดและปรับแนวคิดในหนังสือมาเป็นแนวคิดของตนเองใหม่ ด้วยหลักการบริหารการพัฒนา ที่ได้จากเรื่อง ใครเอาเนยแข็งของฉันไป ขึ้นมาประยุกต์ใช้ ดังนี้
            .ศึกษาบริบทก่อนลงมือทำ  นักบริหารและนักพัฒนาที่ฉลาดนั้นจะทำอะไรก็ตาม  ต้องศึกษาสิ่งนั้นให้เข้าใจก่อน คือ ศึกษาความต้องการ  ความเป็นไปได้  และความน่าจะเป็น  เหมือนมนุษย์จิ๋วและหนูสองตัว ที่ต้องวิ่งสำรวจรอบภูเขาวงกต เพื่อศึกษาบริบทและสำรวจเส้นทาง ในการค้นหาเนยแข็ง แต่ทั้งมนุษย์จิ๋วและหนูต่างก็วิ่งตามสัญชาตญาณและกระแส โดยไม่ศึกษาว่าบริบท สภาพแวดล้อม เส้นทางในภูเขาวงกตเป็นอย่างไรบ้าง  จึงทำให้เสียเวลาและเหนื่อยในการค้นหา  การที่จะเป็นนักบริหารการพัฒนาเราต้องศึกษาบริบทของสิ่งที่เราจะพัฒนาให้เข้าใจ  ก่อนที่จะเริ่มต้นลงมือทำ  โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีสูง  เช่น การจะพัฒนาสังคมไทย  สิ่งที่จะต้องทำก่อน คือ การศึกษาบริบท ทุกมิติทั้งหมดของสังคมไทย  จะทำให้เราได้แนวทางการพัฒนาสังคมไทยที่ถูกจุด ถูกทาง
. การเข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือ นักการบริหารการพัฒนา ต้องเรียนรู้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลง  ศึกษาหาสาเหตุอันจะนำไปสู่กระบวนการแก้ไข  อย่าเป็นคนที่วิ่งตามกระแสอย่างเดียวอาจจะทำให้เดินหลงทางได้  ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนแปลง?” ฮอว์ได้ตระหนักและเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นได้ ดังนั้นถ้าฮอว์ไม่เริ่มเปลี่ยนแปลง ฮอว์ก็จะอดตายได้ในที่สุด  หลักการปรับตัวของนักบริหารการพัฒนาในสภาวะที่เปลี่ยนแปลง คือ การเข้าใจการเปลี่ยนแปลง  ยอมรับ  ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่เปลี่ยนไป ต้องตามให้ได้ไล่ให้ทัน  แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง  ไม่ใช่วิ่งตามกระแสตลอดเวลา  จนไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
.การกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน  การทำงานทุกอย่างถ้าเป็นนักบริหารการพัฒนาที่ดีมีคุณภาพ ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ  การที่มีเป้าหมายนั้นจะทำให้เราเดินถูกทาง เพราะทุกคนที่ทำต่างมองไปที่เป้าเดียวกัน เช่น การบริหารการเปลี่ยนแปลง ว่าจะทำการเปลี่ยนแปลงเพื่ออะไร?” ฮอว์ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของการออกเดินทาง คือ เป้าหมายในการพบเนยแข็งชิ้นใหม่และเอาชนะความกลัวที่มีอยู่ในใจของตน จากคำสบประมาทของเฮ็มที่ว่า  คงหาเนยแข็งที่ดีกว่าเก่าไม่ได้อย่างแน่นอน
. การสร้างและกำหนดทางเลือก คือ การทำงานทุกอย่างแน่นอนถ้าเป็นนักบริหารที่รอบครอบแล้วจะต้องมีการวางแผนเส้นทางเดินไว้หลายเส้นทาง เมื่อวิธีที่หนึ่งไม่สำเร็จก็หันมาเดินเส้นทางวิธีที่สอง คือมีแผนสำรองไว้เสมอในการบริหารการพัฒนา การคิดหาวิธีหรือหนทางไปสู่เป้าหมายฮอว์เลือกที่จะเชื่อและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการออกตามหาเนยแข็งชิ้นใหม่ในเขาวงกต ดีกว่าทนรอเนยแข็งชิ้นเดิมที่ไม่มีวันหวนกลับมา
. การวางแผน การทำงานที่แผนที่ชัดเจนนั้น จะบ่งบอกถึงการทำงานที่มีระบบและขั้นตอนที่ชัดเจน การทำงานทุกครั้งถ้าไม่มีการวางแผน แสดงว่าไม่ใช่นักบริหารการพัฒนา เพราะนักบริหารการพัฒนาจะต้องมีการวางแผนที่รอบครอบ มีการวางแผนเป็นระบบที่ชัดเจน ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? ต้องมีการวางแผนโดยวิเคราะห์ผลดี ผลเสีย และผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ฮอว์ได้วิเคราะห์ถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นในการออกตามหาเนยแข็งชิ้นใหม่ซึ่งแม้จะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการออกตามหาจะเป็นเช่นไร อาจจะต้องเหนื่อย และพบอุปสรรคมากมาย แต่ก็ยังดีกว่านั่งรออยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลย เหมือนเช่น เฮ็ม
. การปฏิบัติการตามแผน การวางแผนเป็นสิ่งสำคัญแล้ว  แต่การนำแผนลงสู่การปฏิบัติจริงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า การปฏิบัติตามแผนจะบ่งบอกถึงการทำงานมืออาชีพ แต่การปฏิบัติอาจจะมีการปรับแผนไปตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เพื่อไม่ให้เป้าหมายเบี่ยงเบน โดยติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ สื่อสารความคืบหน้า และปรับเปลี่ยนเป้าหมายและแผนตามสภาพความเป็นจริง เมื่อฮอว์ได้กลับไปค้นหาเนยแข็งใหม่ในเขาวงกตซึ่งมีความวกวนและซับซ้อนก็พยายามจดจำทางที่เคยไปแล้วไม่พบเนยแข็ง และไม่กลับไปยังเส้นทางเดิมเหล่านั้น  เพื่อให้เจอกับเนยแข็งชิ้นใหม่อย่างรวดเร็ว
. การเสริมแรงให้กับความเปลี่ยนแปลง แม้การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง   จึงต้องเสริมแรงให้กับสิ่งใหม่ๆ เพื่อความคุ้นเคยและเคยชิน ในระหว่างที่ฮอว์กำลังหาเนยแข็งชิ้นใหม่  ก็เกิดความท้อแท้ขึ้นหลายครั้ง  แต่สุดท้ายฮอว์ก็เปลี่ยนความท้อแท้นั้น เป็นความสนุกที่จะได้พบเนยแข็งชิ้นใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน  เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างให้เกิดความสำเร็จในความเปลี่ยนแปลงนั้น
. การประเมินผล คือการนำสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงมาเปรียบเทียบกับแผนปฏิบัติการ และนำไปปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนแปลง เมื่อฮอว์ได้เจอเนยแข็งใน สถาน น. แล้ว ได้เจอกับหนูทั้งสองตัวที่มาถึงก่อนหน้านั้น จึงคิดได้ว่าหากตนออกเดินทางมาก่อนก็จะได้เจอเนยแข็งชิ้นใหม่อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฮอว์จึงสำรวจปริมาณเนยแข็ง และออกหาเนยแข็งในสถานีอื่น อยู่เสมอเพื่อความไม่ประมาทอีกต่อไป  สิ่งที่ฮอว์ได้ทำตอนหลังแม้จะช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยเหมือนเช่น เฮ็ม ที่ไม่ยอมรับ และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังสุภาษิตที่ว่าตั้งต้นสายดีกว่าไม่ตั้งต้นเลยแต่จะว่าไปสิ่งที่ฮอว์ได้นำมาใช้แก้ปัญหานั้น ก็ได้นำหลักธรรมทางพุทธศาสนาของเราเข้ามาใช้ ในเรื่องของการพยายามหาสาเหตุของปัญหา และแก้ปัญหานั้นให้หมดไปเหมือนเช่นการดับทุกข์ ก็อยากให้นักบริหารการพัฒนาลองประยุกต์ใช้วิธีเหล่านี้ดู อาจทำให้ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่หมดไปก็เป็นได้และจำไว้ว่า อย่ากลัวกับการเปลี่ยนแปลงเพราะความเปลี่ยนแปลงนั้นจะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นเสมอ   โดยปกติของใหม่ย่อมดีกว่าของเก่าเสมอ จงเดินไปข้างหน้าเพื่อพบสิ่งใหม่ๆในชีวิต
. อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง  ในหลาย ครั้งที่เราจำเป็นต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะมาถึง สิ่งที่ถึงตัวเราก่อนมักจะเป็นความกลัว กลัวที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งที่บางทีเราก็ไม่ทราบว่าฉากต่อไป  ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร เหมือนเฮ็มที่อุทาน ว่า ต่อไปชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรเมื่อไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่ คือ ตีตัวไปก่อนไข้  แต่ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง หญิงสาวคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็ก เมืองหนึ่ง  เธออาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนี้มานานตั้งแต่เด็ก  หน้าบ้านของเธอมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนทำให้บริเวณนั้นดูร่มรื่นเป็นพิเศษ และแล้ววันหนึ่ง เมื่อต้นไม้นั้นพ่ายแพ้แก่กาลเวลา กิ่งก้านที่เคยร่มเย็นกลับก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้น เมื่อมันหักและหล่นใส่บ้านข้างเคียงบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นปัญหา ถึงขั้นที่จะต้องโค่นล้มต้นไม้ใหญ่นั้นทิ้ง หลังจากเธอทราบว่าไม่สามารถจะคงต้นไม้นี้ไว้ได้ เธอถึงกับกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา  ต่อไปนี้จะเอาร่มเงาจากไม้ใหญ่ที่ไหนคอยกำบังแดดฝน ไม่มีภาพที่เคยมีอีกแล้วยามมองออกไปนอกหน้าต่าง  ยิ่งคิดไปต่าง นานา ก็ยิ่งให้รู้สึกเสียดายไม้ใหญ่นั้น   วันที่ต้องตัดต้นไม้นั้น เธอได้ยินคำพูดจากเพื่อนของเธอที่ต้องการปลอบใจว่า "อย่าเสียดายกับสิ่งที่เสียไป จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะตามมา " วันเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์  ชีวิตของเธอหลังต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นเริ่มเปลี่ยนแปลง  ทุกเช้าที่เธอตื่นนอน เธอจะได้รับแสงแดดส่องเข้ามาในบริเวณห้องของเธอ จนทำให้วันนั้นเกิดรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที  เธอได้บริเวณบ้านมากขึ้น สำหรับปลูกไม้ดอกที่อยากจะปลูกมานาน เธอกลับเริ่มรู้สึกดี กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น   มันไม่ได้แย่ไปอย่างที่เธอคาดไว้   ถ้าต้นไม้ใหญ่นั้นไม่ถูกโค่นลง วันนี้เธอคงไม่ได้เห็นภาพเด็ก วิ่งขึ้นลงรถรับส่งโรงเรียนอย่างร่าเริงในอีกมุมตึก  ตอนนี้เธอเข้าใจกับคำว่า "อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น" ส่วนมากแล้ว เรามักจะกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น  ทุกอย่างมันอยู่ที่ความคิดจริง เหมือนฮอร์กับเฮ็ม  เฮ็มกลัวถึงขนาดไม่ยอมเปลี่ยนทุกอย่าง เพราะคิดว่าสิ่งที่กำลังจะมาถึงมันเลวร้ายกว่าเดิมแน่  คนเรามักกลัวที่จะเข้าไปในห้องมืด  ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในห้องนั้นมีอะไรบ้าง แต่ที่กลัว อยู่ มันอยู่ในความคิดทั้งนั้น  อะไรก็ตามที่คุณกลัว และคิดไปเรื่อย จนทำให้คุณกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง จนบางทียอมที่จะทนกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงไปยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลง มันอยู่ในความคิดทั้งนั้น คุณลองมองในอีกมุมที่หญิงสาวคนในเรื่องไม่ได้มองดูสิ  มุมมองที่เป็นบวกกับชีวิตคุณ มุมมองที่จะทำให้คุณก้าวต่อไปได้ด้วยความตื่นเต้นและยินดี   "อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"
ปัญหาส่วนใหญ่ของการบริหารการพัฒนา คือ สภาพแวดล้อมของการพัฒนา จะเกิดความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  นักบริหารบางคนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ไม่อยากพัฒนา บางคนจะแสดงพฤติกรรมต่อต้าน  เพราะยึดติดและเคยชินอยู่กับความคิดดั้งเดิม หรือวิธีการทำงานเก่าๆ ที่เคยปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวัน นักบริหารการพัฒนาสมัยใหม่จึงควรเป็นผู้นำที่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาให้กับการบริหารพัฒนา โดยใช้ยุทธศาสตร์และเทคนิคการบริหารต่างๆ โดยเริ่มจากการบริหารตน แล้วจึงบริหารคนและบริหารงาน ซึ่งบางครั้งและบางคนต้องอาศัยเวลาในการปรับเปลี่ยนความคิด พฤติกรรมการทำงาน และทักษะในการปฏิบัติงาน  การเปลี่ยนแปลงมักจะนำเราไปสู่หนทางที่ดีเสมอ  ถ้าเราเข้าใจและปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างลงตัวเราจะพบสิ่งใหม่ๆเสมอ   อย่างพวกหนูและฮอร์ได้พบกับสถานีเนยแข็งใหม่  ดังนั้น  จงอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต  ในจุดนี้ทำให้นักศึกษาคิดถึงคำพูดของอาจารย์ ดร.ณรงค์ศักดิ์  จันทร์นวล  ที่ท่านสอนนักศึกษาสมัยเรียนอยู่ปริญญาอก  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต...ดีเสมอ ทำให้เรามองหาส่วนดีของมัน    จึงทำให้นักศึกษามีทัศนคติมองโลกในแง่ดีเสมอ   อย่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวละครทั้ง ตัวในเนื้อเรื่องใครเอาเนยแข็งของฉันไป  การเปลี่ยนแปลงทำให้วิถีชีวิตของตัวละครทั้ง เปลี่ยนไป  คนที่ฉลาด  รู้ตัว  ปรับทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็จะอยู่รอด   และจะพบสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม  คุณอย่าเป็นนักบริหารการพัฒนาที่ติดอยู่กับที่  หรือมีความคิดแบบเดิม  ทำแบบเดิมๆ จงปรับความคิด  พฤติกรรม  ของตนเองใหม่ให้ทันสมัยกับสถานการณ์ในปัจจุบัน   คุณก็จะเป็นนักบริหารการพัฒนาที่ทันคน ทันเหตุการณ์  แล้วนี่จะเป็นแนวทางนำคุณไปสู่นักบริหารการพัฒนามืออาชีพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น